ในปัจจุบัน มีเครื่องบันทึกวิดีโอ (Video Recorder) หลากหลายประเภทในตลาด แต่ละรุ่นมีจุดเด่นและฟังก์ชั่นที่แตกต่างกันออกไป การเลือกเครื่องบันทึกวิดีโอที่เหมาะสมนั้น ขึ้นอยู่กับลักษณะงาน งบประมาณ และความต้องการของผู้ใช้งาน บันทึกวิดีโอแบบเรียลไทม์
สำหรับมืออาชีพที่ต้องการเครื่องบันทึกวิดีโอที่มีประสิทธิภาพสูง ฟังก์ชั่นครบครัน และใช้งานง่าย สองรุ่นที่น่าสนใจ ได้แก่:
HyperDeck Studio HD Plus เป็น Video Recorder เครื่องบันทึกวิดีโอ ไซส์เล็ก ขนาดกำลังดีพกพาไปไหนก็สะดวก รองรับสัญญาณภาพได้สูง มีช่อง 6G-SDI สำหรับการเล่นและบันทึกไฟล์ ProRes ได้สูงสุด Ultra HD 30 fps และช่องสัญญาณ 6G-SDI Output 2 ช่องสัญญาณ ที่สามารถทำ Fill and Key ได้สูงสุด 1080p60 ยังมีจอ LCD สำหรับแสดงภาพและข้อมูลต่างๆ มากับตัวเครื่องมาให้ด้วย
HyperDeck Studio HD Plus Video Recorder เครื่องบันทึกวิดีโอ จะให้ช่อง Input 6G-SDI 1 ช่อง HDMI 2.0 - 1 ช่อง สำหรับการเพื่อการรับภาพผ่านสายสัญญาณเข้ามาที่เครื่องบันทึก และ ช่อง Output ที่ให้ SDI-6G 2 ช่อง HDMI 2.0 1 ช่อง มีช่อง Monitor out ที่เป็นช่อง SDI-3G สำหรับต่อจอเพื่อเช็คสัญญาณภาพและในจอจะระบุข้อมูลและค่าตั้งค่าต่างๆของไฟล์ที่กำลังบันทึกได้อีกด้วย มีช่อง Loop-out แบบ SDI-3G มีช่อง SDI Ref In/Out และช่อง SDI Timecode In/Out ด้วย ในแผงควบคุมด้านหน้าเครื่องก็ให้ปุ่มควบคุมที่ครอบคลุมและใช้งานง่าย มีช่องเสียบ หูฟัง และมีลำโพงติดตั้งมาในตัวอีกด้วย
HyperDeck Studio HD Plus Video Recorder แบบพกพา จะมีขนาดเล็กเพียง 1/3 ขนาดของช่องตู้ Rack ซึ่งค่อนขข้างเล็กสามารถพกพาไปไหนได้สะดวก ตัวเครื่องมีขนาดเล็กแล้ว ช่องสำหรับเสียบหน่วยจัดเก็บข้อมูลเป็นก็จะใช้เป็น SDCard แบบ UHS-I และ USH-II ในการเก็บไฟล์บันทึก และ ช่อง USB-C ที่สามารถนำ SSD External มาเสียบสำหรับบันทึกได้ ถือว่าสะดวกมากๆ
ไฟล์บันทึก HyperDeck Studio ที่เข้ากันได้กับซอฟต์แวร์หลังการผลิตเกือบทั้งหมด นอกจากนี้ หากคุณบันทึกในรูปแบบ H.264 คุณสามารถอัปโหลดไฟล์จาก HyperDeck Studio ไปยังบริการสตรีมมิ่งได้โดยตรง เช่น YouTube, Facebook, Vimeo, Twitter และอื่นๆ อีกมากมาย! คุณสามารถใช้ซอฟต์แวร์ตัดต่อยอดนิยม เช่น DaVinci Resolve, Apple Final Cut Pro, Adobe Premiere Pro หรือ Avid Media Composer ได้ เนื่องจาก HyperDeck ใช้รูปแบบไฟล์เดียวกันกับที่ใช้ในขั้นตอนหลังการถ่ายทำ แม้แต่ซอฟต์แวร์ VFX เช่น Fusion และ Adobe After Effects ก็ทำงานกับไฟล์ได้! เนื่องจาก HyperDeck บันทึกลงในดิสก์ที่ฟอร์แมตบนคอมพิวเตอร์ คุณจึงสามารถเมานต์ดิสก์บนคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ และเริ่มแก้ไขโดยไม่จำเป็นต้องแปลงรหัสหรือแปลงไฟล์
- รองรับ SDCard 2 ช่อง ช่วยให้สามารถบันทึกได้อย่างต่อเนื่อง
- บันทึกไฟล์มาตรฐาน H.264/5, ProRes และ DNx
- รองรับ HDR ขั้นสูงในการบันทึกไฟล์
- ให้ช่องเสียงแบบดิจิตอลหลายช่อง
- มีระบบ Timecode และ ระบบซิงค์สัญญาณภาพ สำหรับการบันทึก ISO มาในตัวเครื่อง
- ตัวเครื่องมี 11 ภาษา ภายในเครื่อง
- ขนาดกระทัดรัด 1/3 ขนาดของช่องตู้ Rack
ATOMOS Ninja Ultra เป็น Video Recording monitor เครื่องบันทึกวิดีโอ ที่มีจอ HDR ขนาด 5.2 นิ้ว พร้อมรองรับการบันทึกไฟล์ Raw จอมอนิเตอร์รองรับขนาดภาพแบบ DCI 4K HDMI และยังสามารถบันทึกไฟล์แบบ RAW ProRes สูงสุดที่ 8K ซึ่งขึ้นอยู่ที่กล้องแต่ละตัวที่ใช้งานถ่าย 8K ได้
ในตัวเครื่อง Ninja Ultra มาพร้อมระบบปฎิบัติการ AtomOS 11 ที่มาพร้อมอินเตอร์เฟซ ไอคอนที่ได้รับการปรับปรุงเพื่อการใช้งานที่ดีขึ้น และในตัวเครื่องมีฟังก์ชั่นช่วยเหลือต่างๆที่ให้มา เช่น Focus Peaking, Zoom, Atomos and ARRI False Color, EL Zone colorized exposure, Safe Areas, RecordAssit, PlayBackAssist, SegmentPro, and Cine Guides เป็นต้น
Video Recorder เครื่องบันทึกวิดีโอ ในส่วนหน้าจอ 5.2 นิ้ว เป็นจอแบบสัมผัส ขนาด 1920 x 1080 พาแนล IPS ที่มีความค่าสว่างอยู่ที่ 1,000 nits ที่สามารถสู้แสงใช้งานกลางแจ้งได้สบายๆ การประมวลผลสี 10 Bit ขอบเขตสี Rec.709 และรองรับการคาลิเบตสีของ Colorchecker display plus ทำให้มั่นใจว่าภาพวิดีโอที่ออกจะมีสีที่มีแม่นยำและคุณภาพ
Ninja Ultra รองรับ Log ของ Sony, ARRI, JVC, RED, Fujifilm, Nikon, Panasonic และ Canon สามารถอัปโหลด 3D LUTs แบบกำหนดเองไปยังจอภาพได้
ตัวเครื่องให้ช่องสัญญาณแบบ HDMI In/Out รองรับวิดีโอแบบ DCI 4K สูงสุดที่ 60 fps ทั้งโหมด Monitor,โหมด Recording,โหมด Playback ในส่วนของการรองรับไฟล์ 3.5K Raw 60 fps จะรองรับในกล้องบางรุ่น และ การมีกล้องบางส่วนที่รองรับการบันทึก RAW ผ่าน HDMI ด้วย Ninja Ultra ได้สูงสุดที่ 8K 30 fps
รองรับการใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อเสริม Ultar สามารถต่อโมดูล Connect เพิ่มได้ โดยจะมีช่องเชื่อมต่อ 12G-SDI , รองรับ Wifi 6 และ LAN Gigabit Ethernet โดยจะช่วยให้ส่งสัญญาณภาพวิดีโอไปแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งต่างๆ ผ่าน ระบบ NDI ได้และรองรับ RTMP และ RTMPS ที่กำหนดเองได้ นอกจากนี้ยังฟังก์ชั่นอื่นๆ ได้แก่ SDICine, การบันทึกไฟล์ RAW ผ่าน SDI , การบันทึกพร้อมกันแบบ 4K 60 ProRes RAW และ 108060p H.265 เป็นต้น
ในส่วนการเก็บข้อมูล Ninja Ultra Video Recorder เครื่องบันทึกวิดีโอ จะใช้เป็น HDD หรือ SSD แบบ SATA 2.5" ที่จะเป็นแหล่งเก็บข้อมูลของตัวเครื่องโดยตรง ซึ่งการใส่ Hard drive ต้องมีตัวแปลงครอบตัว HDD หรือ SSD ซึ่งจะใส่ใช้งานได้ ตัวแปลงที่ใช้งานได้ เช่น Atomos Master Caddy II , Atomos Master Caddy III หรือจะใช้ AtomX SSDmini หรือ CFAST II เลยก็ได้ เรื่องการใช้พลังงานจะรองรับแบตเตอรี่ตระกูล NP-F L Serie 5.8-7.2V หรือ USB-C PD 30w ใช้งานผ่านสาย DC ได้เช่นกัน
Ninja Ultra Video Recorder wifi กับปริมาณงานที่สูงขึ้น และการเชื่อมต่อที่เสถียรยิ่งขึ้น Wi-Fi 6E ช่วยเพิ่มเวิร์กโฟลว์วิดีโอบนคลาวด์ Wi-Fi รุ่นอื่นๆ ทั้งหมดใช้คลื่นความถี่วิทยุสองย่านเดียวกัน: 2.4 GHz และ 5GHz แต่ Wi-Fi 6E ก็ใช้คลื่นความถี่ 6GHz เช่นกัน เฉพาะอุปกรณ์ Wi-Fi 6E เท่านั้นที่ใช้ความถี่นี้ ดังนั้นจึงไม่มีการแข่งขันจากรูปแบบ Wi-Fi แบบเดิม
Wi-Fi 6E เสี่ยงต่อการถูกรบกวนน้อยกว่าและทำงานได้ในระยะไกลกว่า ทุกสิ่งเท่าเทียมกัน ผู้ใช้จะมีแบนด์วิดธ์อย่างน้อยสองเท่าที่ระยะห่างจากตัวส่งสัญญาณที่กำหนด
รูปแบบใหม่ยังมีเวลาแฝงที่ต่ำกว่าและสามารถเชื่อมต่อกับเราเตอร์ Wi-Fi 6E พร้อม ๆ กันได้มากขึ้น Wi-Fi 6E เข้ากันได้กับ Wi-Fi เวอร์ชันก่อนหน้า แต่ความสามารถเพิ่มเติมจะใช้งานได้เมื่อเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Wi-Fi 6E อื่นเท่านั้น
เปรียบเทียบ Video Recorder เครื่องบันทึกวิดีโอ ฟังค์ชั่นระหว่างสองรุ่น